วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ธนบัตรไทย

      
       
ธนบัตรไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


            ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย  ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง  และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  
         จนกระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ และเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราหลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้องการ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้นใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า  หมาย 

    
หมายราคาต่ำ
หมายราคากลาง (ตำลึง)
หมายราคาสูง
                                    
           หมาย  หรือเรียกว่าธนบัตร  เพราะธนบัตรมีความหมายเป็นบัตรของรัฐบาล ที่ใช้เป็นเงินตราเป็นกระดาษสีขาวพิมพ์ตัวอักษรและลวดลายด้วยหมึกสีดำ ประทับตราพระราชสัญลักษณ์ประจำพระราชวงศ์จักรีรูปพระแสงจักร และพระราชลัญจกรประจำพระองค์รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ด้วยสีแดงชาด เพื่อป้องกันการปลอมแปลง หมายที่โปรดให้จัดทำมี ๓ ประเภท ได้แก่ หมายราคาต่ำ  หมายราคากลาง (ตำลึง) และหมายราคาสูง  อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่หมายเป็นเงินตราชนิดใหม่ ในขณะที่ราษฎรยังคงคุ้นเคยกับเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราโลหะมาแต่โบราณ จึงไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายตามพระราชประสงค์


                หมายชนิดแรกเป็นหมายขนาดใหญ่มี 4 ราคา คือ 3 ตำลึง , 4 ตำลึง , 6 ตำลึง และ 10 ตำลึง ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว ขนาด 10 คูณ 14 ซม. ด้านหน้ามีกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองชั้น ฉบับ 6 ตำลึงมีข้อความว่า “ใช้หกตำลึง ให้แก่ ผู้ออกหมายนี้ มาให้  เก็บหมาย นี้ไว้ ทรัพย์จักไม่ สูญเลย” ตรงกลางประทับตราชาดสองดวง คือ ตราจักรและตรามหาพิชัยมงกุฎ ด้านหลังเป็นลายเครือเถาเต็มทั้งด้าน มีตราชาดสี่เหลี่ยมประทับอยู่ตรงกลาง  
หมายชนิดที่ 1

                  หมายชนิดที่ 2 ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว ขนาด 5 คูณ8.7 ซม. มีราคา 1 บาท , 3 สลึง, 2 สลึง ,สลึงเฟื้อง , หนึ่งสลึง และหนึ่งเฟื้อง หมายเหล่านี้แสดงราคาไว้ถึง 11 ภาษา คือ ไทย จีน ละติน อังกฤษ มาลายู เขมร พม่า ลาว สันกฤต และบาลี  ด้านหน้ามีกรอบรูป ภายในกรอบมีข้อความว่า “เงิน+๑ ใช้หมายนี้แสดงแทนเถิด เข้าพระคลังจักใช้เงินเท่านั้น ให้แก่ผู้เอามหายนี้มาส่ง ในเวลาแต่เที่ยงไปจนบ่ายสามโมงทุกวัน ณ โรงทหารพระบรมมหาราชวังฯ”

หมายชนิดที่ 2
                หมายชนิดที่ 3 เป็นหมายราคาสูง ขนาด 6.2คูณ 8.7 ซม. มี 2 ราคา เท่านั้นคือ ราคา 20 บาท และ 80 บาท ด้านหน้ามีข้อความว่า “หมายสำคัญนี้ ใช้แทน 320 ซีกฤา 640 เสี้ยว ฤา 1280 อัฐ ฤา 2560 โสฬส คือ เป็นเงินยี่สิบบาท ฤาห้าตำลึง ฤา 12 เหรียญนก ฤา 28 รูเปีย ได้ให้ไปเปลี่ยนที่พระคลังจะได้ จงเชื่อเถิด”

หมายชนิดที่ 3

            ต่อมาระหว่างพุทธศักราช 2415 2416 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพุทธศักราช 2417 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน  กระดาษอัฐเป็นกระดาษหน้าเดียว ทพด้วยกระดาษขาว 80 ปอนด์ ขนาด 9.3 คูณ 15 ซม. มีกรอบใบเทศต่อก้านสีดำสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในกรอบตรงกลางพิมพ์อักษรสีดำว่า “ราคาหนึ่งอัฐ” มุมด้านซ้ายเขียนหมาบเลขที่ของอัฐกระดาษ ลามมือสีดำ ตราประทับลงในอัฐกระดาษ เป็นตราดุนแผ่นดินสองดวง ดวงใหญ่เป็นตรารูปพระเกี้ยวยอดมีพานรอง 2 ชั้น และฉัตรตั้ง 2 ข้าง ดวงเล้กประทับตราสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปอย่างเดียวกันกับดวงใหญ่  กระดาษอัฐไม่เป็นที่นิยมแก่ประชาชนมากนักเช่นเดียวกับหมาย เพราะชำรุดเสียหายง่าย 

อัฐกระดาษ

                เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพุทธศักราช 2432, 2441, และ 2442 ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ 

             บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า 13 ปี (พ.ศ. 2432 - 2445) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้



บัตรธนาคารชาร์เตอร์ฯ

              ธนาคารชาร์เตอร์ฯ ออกบัตรธนาคารในปี 2441 บัตรที่ออกมี 7 ราคา คือ 1 บาท 5บาท 10 บาท 20 บาท 40 บาท 80 บาท และ 400 บาท พิมพ์ในกรุงลอนดอน เมื่อสิ้นปี 2455 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลออกธนบัตร บัตรธนาคารชาร์เตอร์ก็เริ่มลดลงตามลำดับ จนสิ้นเดือนธันวาคม 2452 บัตรธนาคารเหลือเพียง 10,121 บาท ธนาคารฮ่องกงเหลือ 24,482 บาท
บัตรธนาคารชนิดราคา 80 บาท 
ของธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน
บัตรธนาคารชนิดราคา 400 บาท 
ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้

บัตรธนาคารแหางอินโดจีน
               ธนาคารแห่งอินโดจีน เริ่มออกบัตรธนาคาร เมื่อเดือนเมษายน 2442 มี 4 ราคา คือ 5 บาท 20 บาท 80 บาท และ 100 บาท เมื่อสิ้นปี 2445 บั้ตรธนาคารก็เริ่มลดลง จนเมื่อสิ้นเดือน ธันวาคม 2452 ก็เหลือเพียง 9,600 บาท  เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2445 รัฐบาลได้ขอร้องให้ธนาคารทั้ง 3 แห่ง ถอนคืนบัตรธนาคารของตนเสีย เพราะรัฐบาลต้องการออกธนบัตรของตนเอง
บัตรธนาคารชนิดราคา 5 บาท 
ของธนาคารแห่งอินโดจีน

                ขณะเดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพุทธศักราช 2433 จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี จำนวน ๘ ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ  ในปี พ.ศ. 2435 เงินกระดาษหลวง ที่สั่งไป ได้เข้ามาถึงกรุงเทพฯ บางส่วนพระเจ้าบรมวงเธอ กรมพระนราธิปฯ ได้ทรงร่างพระราชบัญญัติ กฎข้อบังคับและประกาศสำหรับเงินกระดาษหลวง ทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ได้สั่งให้ที่ประชุมเสนาบดีพิจารณา ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบตามร่างดังกล่าว  แต่เงินกระดาษหลวงนี้ไม่ได้นำออกมาใช้ ตามรายงานเสนาบดีกระทรวงพระคลัง เรื่องเปิดกรมธนบัตรหอรัษฎากรพิพัฒน์ มีตอนหนึ่งให้เหตุผลว่า  “ความดำริใช้กระดาษแทนจะนวนเงินในสยามนี้ ใช่เพิ่งเริ่มริขึ้น ณ บัดนี้ ได้ดำริการมาแล้วแต่ก่อนประมาณ 12 ปี การนั้นได้จัดถึงได้สั่งกระดาษ ซึ่งเรียกว่า เตรเชอร์โน๊ต จากยุโรปแล้ว แต่หาได้ออกใช้ไม่ ด้วยเหตุที่การยังไม่พร้อมเพรียง จึงเป็นอันระงับมา”



เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 80 บาท

เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 100 บาท

เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 400 บาท

 จนกระทั่งพุทธศักราช 2445  จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2445 อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2445  จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา
              ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช 2471  ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์


นับแต่เริ่มนำธนบัตรออกใช้เมื่อพุทธศักราช 2444 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้นำธนบัตรออกใช้รวมทั้งสิ้น 16 แบบ ซึ่งแบ่งเป็นธนบัตรก่อนจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 1 - 10 รวมทั้งธนบัตรแบบพิเศษ และธนบัตรที่ผลิตจากโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 - 16 

ธนบัตรแบบ ๑ 

ธนบัตรแบบ ๒ 
ธนบัตรแบบ ๓ 

ธนบัตรแบบ ๔
(โทมัส)
 
 
ธนบัตรแบบ ๔
(กรมแผนที่)

 
ธนบัตรแบบ ๕
 
ธนบัตรแบบ ๖
 
ธนบัตรแบบพิเศษ



ธนบัตรแบบ  ๗
 
ธนบัตรแบบ ๘ 
 
ธนบัตรแบบ ๙ 
 
ธนบัตรแบบ ๑๐ 
 
ธนบัตรแบบ ๑๑
 
ธนบัตรแบบ ๑๒
 
ธนบัตรแบบ ๑๓
 
ธนบัตรแบบ ๑๔


ธนบัตรแบบ ๑๕

ธนบัตรแบบ ๑๖  



อ้างอิง http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/HistoryANdSeriesOfBanknotes/Pages/Evolution_of_Thai_Banknotes.aspx
http://www.xn--l3can3bb3b4bod6ab8bxnra.com/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86/
http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/HistoryANdSeriesOfBanknotes/Pages/All_Series_of_Banknotes.aspx


นางสาว บุญสิตา  ศรีสมาน
 ม.5 ห้อง 937 เลขที่ 14
          โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
        ครูประพิศ  ฝาคำ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น