ธนบัตรไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน |
ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
จนกระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ และเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราหลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้องการ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้นใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า หมาย
![]() |
หมายราคาต่ำ |
![]() |
หมายราคากลาง (ตำลึง) |
![]() |
หมายราคาสูง |
หมายชนิดแรกเป็นหมายขนาดใหญ่มี 4 ราคา คือ 3 ตำลึง , 4 ตำลึง , 6 ตำลึง และ 10 ตำลึง ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว ขนาด 10 คูณ 14 ซม. ด้านหน้ามีกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองชั้น ฉบับ 6 ตำลึงมีข้อความว่า “ใช้หกตำลึง ให้แก่ ผู้ออกหมายนี้ มาให้ เก็บหมาย นี้ไว้ ทรัพย์จักไม่ สูญเลย” ตรงกลางประทับตราชาดสองดวง คือ ตราจักรและตรามหาพิชัยมงกุฎ ด้านหลังเป็นลายเครือเถาเต็มทั้งด้าน มีตราชาดสี่เหลี่ยมประทับอยู่ตรงกลาง
![]() |
หมายชนิดที่ 1 |
หมายชนิดที่ 2 ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาว ขนาด 5 คูณ8.7 ซม. มีราคา 1 บาท , 3 สลึง, 2 สลึง ,สลึงเฟื้อง , หนึ่งสลึง และหนึ่งเฟื้อง หมายเหล่านี้แสดงราคาไว้ถึง 11 ภาษา คือ ไทย จีน ละติน อังกฤษ มาลายู เขมร พม่า ลาว สันกฤต และบาลี ด้านหน้ามีกรอบรูป ภายในกรอบมีข้อความว่า “เงิน+๑ ใช้หมายนี้แสดงแทนเถิด เข้าพระคลังจักใช้เงินเท่านั้น ให้แก่ผู้เอามหายนี้มาส่ง ในเวลาแต่เที่ยงไปจนบ่ายสามโมงทุกวัน ณ โรงทหารพระบรมมหาราชวังฯ”
![]() |
หมายชนิดที่ 2 |
![]() |
หมายชนิดที่ 3 |
ต่อมาระหว่างพุทธศักราช 2415 - 2416 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพุทธศักราช 2417 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน กระดาษอัฐเป็นกระดาษหน้าเดียว ทพด้วยกระดาษขาว 80 ปอนด์ ขนาด 9.3 คูณ 15 ซม. มีกรอบใบเทศต่อก้านสีดำสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในกรอบตรงกลางพิมพ์อักษรสีดำว่า “ราคาหนึ่งอัฐ” มุมด้านซ้ายเขียนหมาบเลขที่ของอัฐกระดาษ ลามมือสีดำ ตราประทับลงในอัฐกระดาษ เป็นตราดุนแผ่นดินสองดวง ดวงใหญ่เป็นตรารูปพระเกี้ยวยอดมีพานรอง 2 ชั้น และฉัตรตั้ง 2 ข้าง ดวงเล้กประทับตราสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปอย่างเดียวกันกับดวงใหญ่ กระดาษอัฐไม่เป็นที่นิยมแก่ประชาชนมากนักเช่นเดียวกับหมาย เพราะชำรุดเสียหายง่าย
![]() |
อัฐกระดาษ |
เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพุทธศักราช 2432, 2441, และ 2442 ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ
บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า 13 ปี (พ.ศ. 2432 - 2445) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้
บัตรธนาคารชาร์เตอร์ฯ
ธนาคารชาร์เตอร์ฯ ออกบัตรธนาคารในปี 2441 บัตรที่ออกมี 7 ราคา คือ 1 บาท 5บาท 10 บาท 20 บาท 40 บาท 80 บาท และ 400 บาท พิมพ์ในกรุงลอนดอน เมื่อสิ้นปี 2455 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลออกธนบัตร บัตรธนาคารชาร์เตอร์ก็เริ่มลดลงตามลำดับ จนสิ้นเดือนธันวาคม 2452 บัตรธนาคารเหลือเพียง 10,121 บาท ธนาคารฮ่องกงเหลือ 24,482 บาท
![]() |
บัตรธนาคารชนิดราคา 80 บาท ของธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน |
![]() |
บัตรธนาคารชนิดราคา 400 บาท ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ |
บัตรธนาคารแหางอินโดจีน
ธนาคารแห่งอินโดจีน เริ่มออกบัตรธนาคาร เมื่อเดือนเมษายน 2442 มี 4 ราคา คือ 5 บาท 20 บาท 80 บาท และ 100 บาท เมื่อสิ้นปี 2445 บั้ตรธนาคารก็เริ่มลดลง จนเมื่อสิ้นเดือน ธันวาคม 2452 ก็เหลือเพียง 9,600 บาท เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2445 รัฐบาลได้ขอร้องให้ธนาคารทั้ง 3 แห่ง ถอนคืนบัตรธนาคารของตนเสีย เพราะรัฐบาลต้องการออกธนบัตรของตนเอง
![]() |
บัตรธนาคารชนิดราคา 5 บาท ของธนาคารแห่งอินโดจีน |
![]() |
เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 80 บาท |
![]() |
เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 100 บาท |
![]() |
เงินกระดาษหลวงชนิดราคา 400 บาท |
จนกระทั่งพุทธศักราช 2445 จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2445 อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2445 จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา
ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช 2471 ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์
นับแต่เริ่มนำธนบัตรออกใช้เมื่อพุทธศักราช 2444 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้นำธนบัตรออกใช้รวมทั้งสิ้น 16 แบบ ซึ่งแบ่งเป็นธนบัตรก่อนจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 1 - 10 รวมทั้งธนบัตรแบบพิเศษ และธนบัตรที่ผลิตจากโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 - 16
อ้างอิง http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/HistoryANdSeriesOfBanknotes/Pages/Evolution_of_Thai_Banknotes.aspxธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช 2471 ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์
นับแต่เริ่มนำธนบัตรออกใช้เมื่อพุทธศักราช 2444 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้นำธนบัตรออกใช้รวมทั้งสิ้น 16 แบบ ซึ่งแบ่งเป็นธนบัตรก่อนจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 1 - 10 รวมทั้งธนบัตรแบบพิเศษ และธนบัตรที่ผลิตจากโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 - 16
![]()
ธนบัตรแบบ ๑
| ![]()
ธนบัตรแบบ ๒
| ![]()
ธนบัตรแบบ ๓
| ![]() ธนบัตรแบบ ๔ (โทมัส) |
![]() ธนบัตรแบบ ๔ (กรมแผนที่) | ![]() ธนบัตรแบบ ๕ | ![]() ธนบัตรแบบ ๖ | ![]()
ธนบัตรแบบพิเศษ
|
![]() ธนบัตรแบบ ๗ | ![]() ธนบัตรแบบ ๘ | ![]() ธนบัตรแบบ ๙ | ![]() ธนบัตรแบบ ๑๐ |
![]() ธนบัตรแบบ ๑๑ | ![]() ธนบัตรแบบ ๑๒ | ![]() ธนบัตรแบบ ๑๓ | ![]() ธนบัตรแบบ ๑๔ |
![]() ธนบัตรแบบ ๑๕ | ![]() ธนบัตรแบบ ๑๖ |
http://www.xn--l3can3bb3b4bod6ab8bxnra.com/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86/
http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/HistoryANdSeriesOfBanknotes/Pages/All_Series_of_Banknotes.aspx
นางสาว บุญสิตา ศรีสมาน
ม.5 ห้อง 937 เลขที่ 14
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ครูประพิศ ฝาคำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น